|
|
|
|
|
รูปปักกิ่ง |
รูปปักกิ่ง |
รูปปักกิ่ง |
|
|
|
|
|
รูปปักกิ่ง |
รูปปักกิ่ง |
รูปปักกิ่ง |
|
|
|
|
|
รูปปักกิ่ง |
รูปปักกิ่ง |
รูปปักกิ่ง |
รู้จักปักกิ่ง
ปักกิ่ง (Bejing)
- ปักกิ่ง หรือ เป่ยจิง เป็นเมืองหลวงของประเทศจีน มีพื้นที่ประมาณ 16,800 ตารางกิโลเมตรมีประชากรอาศัยอยู่ 13 ล้านคน เฉพาะย่านใจกลางเมืองมีประชากรอยู่ราว 8 ล้านคนด้วยความที่เป็นศูนย์กลางการปกครองมากว่า 600 ปีทำให้ภายในกรุงปักกิ่งมีมรดกทางวัฒนธรรมจากราชวงศ์ต่างๆอยู่มากมาย ทั้งกำแพงเมืองจีนที่เป็นสุดยอดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกตลอดกาล พระราชวังต้องห้ามที่แสนอลังการ มีอุทยานซึ่งเคยเป็นที่เสด็จพักผ่อนของราชวงศ์อยู่ทั่วไป รวมทั้งสุสานของจักรพรรดิในราชวงศ์ต่างๆ ที่ได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้ในการไปเยือนปักกิ่ง
- ปักกิ่งเป็นหนึ่งในเมืองเพียงไม่กี่แห่งของจีนที่ได้ติดต่อกับโลกภายนอก โดยเป็นที่ตั้งของสถานทูตต่างชาติมาตั้งแต่ครั้งอดีต และในทศวรรษหลังๆนี้ ปักกิ่งก็ได้ต้อนรับนักการทูต นักปราชญ์ ผู้เชี่ยวชาญ ศิลปิน นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่าเมืองใดในประเทศจีน ปัจจุบันมีชาวปักกิ่งกว่า 100,000 คนที่เกิดในต่างประเทศ และส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างของบริษัทต่างชาติ นอกจากนี้ ปักกิ่งยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำ หน่วยงานรัฐบาล และออฟฟิศบริษัทต่างชาติอีกมากมาย ยิ่งนานวัน ปักกิ่งก็ยิ่งมีความเป็นสากลเพิ่มมากขึ้น
- ผังเมืองของกรุงปักกิ่งที่ถูกวางให้เป็นตารางสี่เหลี่ยม มาตั้งแต่แรกสร้างในสมัยราชวงศ์หมิงถนนหนทางจึงทอดตรงยาวเหยียดจากเหนือลงใต้ และจากตะวันออกไปตะวันตก ศูนย์กลางเมืองอยู่ที่พระราชวังต้องห้ามและจัตุรัสเทียนอันเหมิน ปัจจุบันตัวเมืองขยายออกไปมาก จนเกิดถนนวงแหวนซ้อนกันถึง 5 ชั้น แต่กระนั้นการจราจรก็มีการติดขัดเป็นปกติบนถนนสายหลักด้วยจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับประชาชนส่วนหนึ่งยังใช้จักรยานในการสัญจรไปมา แต่วินัยการจราจรยังมีไม่มากนัก
- ปักกิ่งมีภาษาและอาหารในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นักท่องเที่ยวที่เกาะติดอยู่กับโรงแรม รถของบริษัททัวร์ มัคคุเทศก์ ร้านค้าและร้านอาหารใหญ่ๆมักจะไม่ประสบปัญหาในเรื่องภาษาสักเท่าไหร่แต่หากพ้นขอบเขตนี้ออกไป คุณจะได้เห็นแต่ป้ายได้ยินแต่เสียงที่เป็นภาษาจีนเท่านั้น ประเทศจีนมีภาษาถิ่นหลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่ ชาวปักกิ่งพูดภาษาถิ่นที่ใกล้เคียงกับภาษาผู่ทงฮั่ว (แมนดาริน) ที่ทางการกำหนดให้ใช้เป็นภาษาราชการ
ประวัติศาสตร์
ประเทศจีนมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลถึง 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นรองก็แค่รัสเซียและแคนาดาเท่านั้น แต่จำนวนประชากรนั้นมีมากที่สุดในโลกถึง 1.3 พันล้านคน ประกอบด้วยชาวฮั่น 93 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นชนกลุ่มน้อย เช่น มองโกล ทิเบตและมุสลิมในเขตชายแดนที่ติดกับประเทศในเอเชียกลาง ชาวจีนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตตอนกลางและทางตะวันออกของประเทศ ความเจริญก้าวหน้าทั้งหลายจึงเหมือนว่าพื้นที่แถบนี้จะรุดหน้าไปไกลกว่าพื้นที่ทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นดินแดนที่แห้งแล้งกันดารและด้อยโอกาส
ประเทศจีนมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน แบ่งการปกครองออกเป็น 12 มณฑล 5 เขตการปกครองตนเอง คือ มองโกลเลียใน หนิงเซีย ซินเจียง กวางสีและทิเบตซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ในทั้งห้าเขตเป็นชนกลุ่มน้อย และมักมีปัญหากัลป์รัฐบาลกลางอยู่บ่อยๆโดยเฉพาะทิเบต ส่วนปักกิ่ง (เมืองหลวง) เซี่ยงไฮ้และเทียนจิน 3 เมืองใหญ่อันดับต้นนั้นจัดการปกครองแบบมหานครพิเศษ
ส่วนประวัติศาสตร์จีนนั้นกำเนิดเรื่องราวมายาวนานกว่า 5,000 ปี ซึ่งพอจะจับใจความเรื่องราชได้เมื่อราชวงศ์จิ้น (221-207 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ได้รวบรวมดินแดนให้เป็นอันดับหนึ่งอันเดียวกัน เริ่มมีการสร้างกำแพงเมืองจีนป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางเหนือ แต่ก็มีการทำสงครามแย่งดินแดนและเปลี่ยนราชวงศ์กันอยู่บ่อยๆจนในบางครั้งไม่มีผู้ใดกุมอำนาจปกครองได้ทั้งประเทศ แตกแยกออกเป็น 3 อาณาจักร (ดั่งในตำนานพงศวดารเรื่อง สามก๊ก )
ในสมัยราชวงศ์เหลียว (ค.ศ.916-1125) จีนก็ยังคงมีหลายอาณาจักร จักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหลียวได้ตั้งเมืองหลวงใหม่ที่ปักกิ่ง (ในขณะนั้นชื่อยานกิ่ง)
ปี 1215 เจงกิสข่านจากมองโกลได้บุกเข้ายึดปักกิ่ง แต่ก็ไม่สามารถรบชนะครอบครองดินแดนได้ทั้งหมด จนกระทั่งสมัยกุบไลข่านหลานเจงกิสข่าน สามารถรวบรวมแผ่นดินจีนได้อีกครั้ง แล้วก่อตั้งราชวงศ์หยวน (1271-1368) ตั้งเมืองหลวงขึ้น 2 แห่งคือชางตูในเขตมองโกเลียในและเมืองต้าตูซึ่งก็คือปักกิ่งนั่นเอง
ต่อมาราชวงศ์หมิง (1368-1644) ขึ้นสู่อำนาจด้วยการโค่นราชวงศ์หยวนลงได้จากการช่วยเหลือของชาวนาทางภาคใต้ โดยมีจักรพรรดิหงหวู่ (1368-1398) ขึ้นครองบัลลังก์แล้วย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่หนานจิง พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อต้าตูเป็นมืองเป่ยผิง (เมืองสุขสงบทางเหนือ) เพื่อทำลายสัญลักษณ์ของราชวงศ์หยวน หนานจิงจึงได้เป็นเมืองหลวงอยู่นาน 35 ปี ก่อนที่จักรพรรดิหยงเล่อ (1403-1524) จะย้ายเมืองหลวงกลับไปอยู่เป่ยผิง และเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่าเป่ยจิง (Beijing) ซึ่งแปลว่านครหลวงทางเหนือ พร้อมกับสร้างพระราชวังต้องห้าม หอบูชาสวรรค์เทียนถาน และพระราชวังฤดูร้อนขึ้นในสมัยนี้
จักรพรรดิราชวงศ์หมิงขึ้นครองอำนาจปกครองแผ่นดินจีนอยู่ถึง 16 พระองค์ พระบรมศพจักรพรรดิ 13 ใน 16 พระองค์ถูกฝังอยู่ในสุสานราชวงศ์หมิงทางเหนือของกรุงปักกิ่ง (พระบรมศพอีก 3 พระองค์ถูกฝังอยู่ในสุสานในเมืองหนาน-จิงแน่นอนว่าในนั้นมีพระบรมศพของจักรพรรดิหงหวู่ผู้ก่อตั้งราชวงศ์)
ในขณะที่อำนาจราชวงศ์หมิงเริ่มโรยรา เกิดการจลาจลและการปกครองไร้เสถียรภาพพวกแมนจูทางเหนือนำโดยคนในตระกูลอ้ายซินเจ๋หลัว ก็ได้รวบรวมไพร่พลบุกเข้ายึดเป่ยจิงหรือกรุงปักกิ่งและก่อตั้งราชวงศ์ชิง (1644-1911) ได้สำเร็จ โดยถูกมองว่าเป็นราชวงศ์คนต่างด้าวเข้ามาปกครองไม่ใช่ชาวฮั่นที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของจีน
ราชวงศ์ชิงไม่ได้ทำลายสิ่งก่อสร้างและสัญลักษณ์ของราชวงศ์หมิง แต่กลับเข้าไปใช้ต่อทั้งพระราชวังต้องห้าม พระราชวังฤดูร้อน ตลอดจนประกอบพระราชกิจตามธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม เพื่อลดการต่อต้านจากประชาชน
จักรพรรดิผู้มีชื่อเสียงที่สุดของราชวงศ์ชิงก็คือ จักรพรรดิเฉียนหลง (1736-1795) จักรพรรดิคังซี และพระนางซูสีไทเฮา (ครองราชย์ 1860-1907) ผู้อยู่เบื้องหลังอำนาจที่แท้จริงสมัยจักรพรรดิถงจื้อและจักรพรรดิกวงซี โดยการว่าชการหลังม่านปกครองจีนอยู่นานถึง 48 ปี ซึ่งเป็นการขัดจารีตประเพณีของราชสำนักชิงที่ห้ามราชนารียุ่งเกียวกับการเมือง แต่พระนางก็เป็นราชนารีพระองค์แรกที่ทำเช่นนั้น
ในช่วงที่พระนางซูสีไทเฮาปกครองประเทศจีนได้เริ่มทำค้าขายกับต่างชาติ เช่น อังกฤษ ฮอลแลนด์ สเปน ในช่วงแรกจีนได้เปรียบดุลการค้ามาก โดยสินค้าที่ส่งออกจะเป็นชา ผ้าไหม และเครื่องถ้วยชาม ในขณะที่จีนซื้อขนแกะและเครื่องเทศ เมื่อเป็นเช่นนั้นอังกฤษซึ่งเสียเปรียบการค้าจึงเริ่มขายฝิ่นให้คนจีนเพื่อให้การค้าสมดุล เมื่อประชาชนนับล้านติดฝิ่น จึงไม่ทำมาหากินเงินทองรั่วไหลออกนอกประเทศและเกิดปัญหาสังคม ทางราชสำนักเห็นว่าไม่ได้การจึงสั่งห้ามนำฝิ่นเข้ามาขายในเมืองจีน เป็นเหตุให้อังกฤษต้องใช้กำลังเข้ายึดครองเมืองตามแนวชายฝั่งรวมทั้งเซี่ยงไฮ้ในปี 1839 จนเกิดสงครามขึ้นที่เรียกว่า สงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ด้วยกองกำลังที่อ่อนแอจึงทำให้จีนพ่ายแพ้ จึงต้องเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาทำมาค้าขายได้ต่อไปเซี่ยงไฮ้จึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของต่างชาติอยู่ร่วมร้อยปี โดยการจ่ายค่าเช่าในเขตเช่าให้ทางราชสำนัก ทำให้เซี่ยงไฮ้เติบโตการเป็นเมืองทันสมัยแบบตะวันตกนับแต่บัดนั้น รวมทั้งทางฮ่องกงที่ทางราชสำนักชิงได้ทำสัญญาให้อังกฤษเช่าอยานานถึง 99 ปี ก่อนจะส่งมอบคืนให้ส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ไปเมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม 1997
ราชสำนักชิงเริ่มอ่อนแอลง ทำให้จีนต้องเสียอาณานิคมให้กับมหาอำนาจตะวันตก คือเสียเวียดนาม ลาวและกัมพูชาให้กับฝั่งเศส อังกฤษเข้าครองพม่า ญี่ปุ่นได้เกาหลีและไต้หวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ดร.ซุนยัตเซ็น ซึ่งได้รับการศึกษาแบบตะวันตก มองเห็นว่าถ้าปล่อยให้ราชสำนักชิงปกครองประเทศต่อไปก็จะทำให้เมืองจีนต้องสูญเสียดินแดนไปทีละน้อย ดังนั้นเขาจึงคิดจะปฏิวัติการปกครองเสียใหม่ โดยนำพาประเทศเข้าสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยตามนานาอารยประเทศที่มีแต่ความเจริญก้าวหน้าและความมั่งคั่งของประชาชน โดยใช้จุดอ่อนของราชวงศ์ชิงที่มองว่าเป็นคนต่างเชื้อชาติในการปลุกระดม จนสามารถโค่นบัลลังก์ราชวงศ์ชิงลงได้เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 1911 จากการร่วมมือของหยวนซื่อไข่ แม่ทัพเชื้อสายฮั่นเพียงไม่กี่คนที่ได้เป็นใหญ่ในราชสำนัก และ จักรพรรดิปูยี จักรพรรดิองค์น้อยที่ขึ้นครองราชย์ในวัยเพียง 3 ชันษาก็กลายเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายในประวัติศาสตร์จีน
หลังจากนั้น ซุนยัดเซ็นก็ได้ประกาศให้จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบสาธารณรัฐแม้เขาจะเป็นผู้นำในการล้มล้างราชวงศ์แมนจู แต่ผู้ที่ได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกกลับเป็นหยวนซื่อไข่ แม่ทัพใหญ่ผู้กระหายอำนาจและพยายามจะสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ
ซุนยัตเซ็นกับพรรคพวกถูกบีบจนต้องออกจากปักกิ่งไปตั้งพรรคพรรคก๊กหมินตั๋ง (KMT) อยู่ที่เมืองกวางโจวทางภาคใต้ และมาซื้อบ้านอยู่ที่เซี่ยงไฮ้กับซ่งซิงหลิงผู้เป็นภรรยาในเขตฝรั่งเศสซึ่งถือว่ามีความปลอดภัย และรวบรวมพลพรรคบีบให้หยวนซื่อไข่ลงจากอำนาจได้ในที่สุด และเขาก็ได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อมา และถึงแก่อสัญกรรมไปเมื่อปี 1925 นายพลเจียงไคเช็ค จึงได้เป็นผู้นำพรรคและประธานาธิบดีคนต่อมาและใช้นโยบาย กระแสชีวิตใหม่ เพื่อลบล้างอิทธิพลของชาวต่างชาติให้ออกไปจากเมืองจีน
ขณะเดียวกันในปี ค.ศ.1921 องค์การคอมมิวนิสต์โซเวียต ก็ได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มชาวจีนที่ฝักใฝ่ลัทธิมาร์กซิสต์จัดตั้ง พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) จนมีเครือข่ายขยายมวลชนไปทั่วประเทศ จนพรรคก๊กหมินตั๋งต้องใช้กำลังปราบปราม จนเกิดเป็นสงครามกลางเมืองระหว่าง 1945-1949 ในที่สุดรัฐบาลก๊กหมินตั๋งก็พ่ายแพ้ให้กับกองทัพปลดปล่อยประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จนต้องหนีออกไปอยู่เกาะไต้หวัน
เหมาเจ๋อตุง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม 2549 รวบรวมแผ่นดินจีนเข้าเป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ โดยนำระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์มาใช้ปกครองอย่างเคร่งครัดด้วยการกวาดล้างธุรกิจชั่วร้ายทั้งโรงฝิ่น บ่อนการพนัน หอนางโลมให้หมดไปจากเมืองจีนพร้อมทั้งรณรงค์ให้ต่อต้านอเมริกาจนนำไปสู่ ยุคปฏิวัติ (ค.ศ.1966-1976) ด้วยการทำลายสิ่งก่อสร้างและวัฒนธรรมที่เป็นสัญลักษณ์ของชาวตะวันตก ทำให้ต้องสูญเสียอาคารสถานที่ วัดวาอาราม โบสถ์ อนุสาวรีย์ ตำรา รวมทั้งงานศิลปะล้ำค่าไปอย่างมากมาย แม้กระทั่งการแต่งกายก็ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ที่พรรคคอมมิวนิสต์กำหนด การโฆษณาชวนเชื่อ ใบปลิว โปสเตอร์ต่างๆ ก็เกิดขึ้นในช่วงนี้ และดุเหมือนว่าระบอบคอมมิวนิสต์จะกลายเป็นการข่มเหงรังแกประขาชนชั้นกลางเสียแล้ว ทำให้ช่วงนี้ประชาชนคนจีนทนไม่ได้ต้องอพยพไปอยู่ต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
จนกระทั่งการอสัญกรรมของเหมาเจ๋อตุง (1 กันยายน 1976) การปฏิวัติวัฒนธรรมด้วยการทำลายล้างก็หมดไป เมื่อเติ้งเสี่ยวผิงขึ้นเป็นประธานาธิบดีได้เปิดประเทศรับเอาระบบทุนิยมเข้ามาใช้ซึ่งประสบผลสำเร็จอย่างดี ประชาชนมีอิสระเสรีมากขึ้น ระบบคอมมิวนิสต์เริ่มผ่อนคลาย จึงนำมาซึ่งเหตุโศกนาฏกรรมการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนเหมิน เมื่อกลุ่มนักศึกษาและประชาชนออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 1989 และหลังจากนั้นมาก็ไม่มีคนกลุ่มใดกล้าหืออีกเลย
หลังจากนั้น เจียงเจ๋อหมิน ซึ่งเคยเป็นผู้ว่าการนครเซี่ยงไฮ้มาก่อนก็ขึ้นเป็นประธานาธิบดีต่อในปี 1993 ก็สานต่อนโยบายของเติ้งเสี่ยวผิง นำพาสาธารณัฐประชาชนจีนเข้าสู๋สังคมโลกด้วยการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทั้งทางวัตถุ สังคมและการทำมาค้าขาย เศรษฐกิจจีนเติบโตร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง
ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของจีนคือ หูจิ่นเทา (ขึ้นสู่อำนาจเมื่อปี 2003-ปัจจุบัน) ก็ยังยึดนโยบายเดิม จนทำให้จีนได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศกลายเป็นมหาอำนาจโลกอันดับ 2 ในทุกวันนี้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
ภูมิประเทศและภูมิอากาศ
- กรุงปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศจีน เป็นศูนย์กลางทั้งด้านการปกครอง เศรษฐกิจ การคมนาคม และวัฒนธรรมของประเทศ มีที่ตั้งอยู่ระหว่าง 116 20 ลองจิจูดตะวันออก และ 39 56 แลดติจูดเหนือ ทิศตะวันออกติดกับเมืองเทียนจิน และทิศอื่นๆ ติดกับมณฑลเหอเป่ย โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 16,410.54 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ที่เป็นที่ราบมีเนื้อที่ 6,338 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 38.6 ของพื้นที่ทั้งปักกิ่ง และพื้นที่ที่เป็นภูเขามีเนื้อที่ 10,072 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 61.4 ของพื้นที่ทั้งปักกิ่ง ลักษณะภูมิประเทศของปักกิ่ง ทิศตะวันตก ทิศเหนือ และทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นแนวภูเขา ทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่ราบลาดตัวลงสู่ทะเลป๋อไห่
พื้นที่ ราบในปักกิ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 20 - 60 เมตร ส่วนพื้นที่ที่เป็นภูเขามีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 - 1,500 เมตร โดยยอดเขาที่สูงที่สุดคือยอดเขาตงหลิงติดกับมณฑลเหอเป่ย ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,303 เมตร แม่น้ำสายหลักของกรุงปักกิ่ง ได้แก่ แม่น้ำเฉาไป๋ แม่น้ำเป่ยหยุนซึ่งอยู่ด้านตะวันออก และแม่น้ำหย่งติ้ง แม่น้ำจวี้หม่าซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก
กรุงปักกิ่งประกอบด้วย 16 เขต 2 อำเภอ ได้แก่ เขตตงเฉิง เขตซีเฉิง เขตซวนอู่ เขตฝางซาน เขตฉงเหวิน เขตไห่เตี้ยน เขตเฉาหยาง เขตเฟิงไถ เขตเหมินโถวโกว เขตสือจิ่งซาน เขตทงโจว เขตซุ่นอี้ เขตชางผิง เขตต้าซิ่ง เขตฮวายโหรว เขตผิงกู่ อำเภอหมี่หยุน และอำเภอเหยียนชิ่ง
ภูมิอากาศ
กรุงปักกิ่งมีลักษณะอากาศอบอุ่นกึ่งชุ่มชื้น แบ่งเป็น 4 ฤดู ฤดูใบไม้ผลิ และใบไม้ร่วงมีระยะเวลาสั้นมาก ฤดูร้อนอากาศร้อนจัด และมีฝนมาก ขณะที่ฤดูหนาวอากาศแห้งและหนาวจัด อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 10 - 12 องศาเซลเซียส เดือนมกราคมอุณหภูมิเฉลี่ย -7 ถึง-4 องศาเซลเซียส เดือนกรกฎาคมอุณหภูมิเฉลี่ย 25 - 26 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปี 600 มิลลิเมตร โดยปริมาณน้ำฝนในฤดูร้อนคิดเป็นร้อยละ 75 ของปริมาณน้ำฝนทั้งปี และในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมจะเป็นช่วงที่มีฝนตกชุก
ประชากร/ศาสนา
ประชากรในกรุงปักกิ่งประกอบด้วยชนชาติทั้งหมด 56 ชนชาติ โดยมีชนชาติฮั่นเป็นประชากรส่วนใหญ่ นอกจากนั้นมีชนชาติหุย แมนจู มองโกเลีย และชนชาติอื่นๆ
ในปี ค.ศ. 2011 ประชากรที่เป็นคนในพื้นที่กรุงปักกิ่งมีจำนวน 20.19 ล้านคน (สถิติปลายปี ค.ศ. 2011) มีอัตราการเกิดพันละ 8.29 และอัตราการตายพันละ 4.27 ความหนาแน่นของประชากร 1,230 คนต่อตารางกิโลเมตร
ศาสนาของชาวจีนนั้นมีหลากหลายได้แก่ ลัทธิขงจื้อ เต๋า พุทธ อิสลาม และคริสต์ โดยเฉพาะความคิดลัทธิขงจื้อและเต๋ามีอิทธิพลหยั่งรากลึกซึ้งในภาษาและ วัฒนธรรมของจีนมานับพันๆ ปี
|
จตุรัสเทียนอันเหมิน : ปักกิ่ง |
|
พระราชวังต้องห้ามกู้กง : ปักกิ่ง |
รูปโดย ทริปดีดี ดอทคอม |
|