ตารางเวลาบินสายการบิน Emirates |
วันเดินทาง |
เส้นทาง |
เที่ยวบิน |
เวลาออก |
เวลาถึง |
06 เม.ย. 63 |
กรุงเทพ-ดูไบ |
EK 385 |
01.15 |
04.45 |
06 เม.ย. 63 |
ดูไบ-คาซาบลังก้า |
EK 751 |
07.25 |
12.55 |
14 เม.ย. 63 |
คาซาบลังก้า-ดูไบ |
EK 752 |
14.55 |
01.15 (+1 day) |
15 เม.ย. 63 |
ดูไบ-กรุงเทพ |
EK 376 |
03.40 |
12.50 |
ผู้ที่จองตั๋วภายในประเทศ กรุณาจองให้มีระยะห่างอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันเที่ยวบินล่าช้า |
|
วันที่หนึ่ง |
กรุงเทพฯ สนามบินสุวรรณภูมิ |
22.00 น. |
พร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 8-9 Row Q สายการบิน EMIRATES พบกับเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกเช็กอินโหลดกระเป๋า |
วันที่สอง |
กรุงเทพ ดูไบ โมรอคโค คาซาบลังกา ราบัต (-/L/D) |
01.15 น. |
ออกเดินทางสู่ สนามบินดูไบ โดยเที่ยวบินที่ EK 385 บริการอาหารร้อนบนเครื่อง ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง 55 นาที |
04.45 น. |
ถึงสนามบินนานาชาติเมืองดูไบ นำท่านเปลี่ยนเครื่องบินไปยังคาซาบลังก้า **เวลาท้องถิ่นที่ดูไบ ช้ากว่าไทย 3 ชั่วโมง)** |
12.55 น. |
เดินทางถึง สนามบิน Mohamed V Airport เมืองคาซาบลังก้า (Casablanca) (เวลาท้องถิ่นที่โมรอคโค ช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมงและช้ากว่าดูไบ 3 ชั่วโมง) นำท่านผ่านการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร รับกระเป๋า ออกมาพบมัคคุเทศก์ท้องถิ่นแล้วนำท่านเริ่มออกเดินทางสู่ตัวเมือง คาซาบลังก้า มีความหมายในภาษาโปรตุเกสและสเปนว่าบ้านสีขาว เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Casablanca ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 1942 ทำให้คนทั่วไปรู้จักคาซาบลังก้า และยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโมรอคโค |
กลางวัน |
รับประทานอาหารกลางวัน (มื้อที่ 1) |
15.00 น. |
สมควรแก่เวลา นำท่าน ออกเดินทางสู่ เมืองราบัต Rabatใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1956 เมื่อโมรอคโคหลุดพ้นจากการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของฝรั่งเศส และเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม ตั้งอยู่ติดมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นแหล่งอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมก่อสร้าง และอุตสาหกรรมผ้า และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี 2012 นำท่านเข้าชม แวะถ่ายภาพที่ สุเหร่าฮัสซัน (Hassan Tower) ที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 แต่ไม่สำเร็จ สร้างโดย Abu Yusuf Yaqub al-Mansur กาหลิบที่ 3 แห่งAlmohad ในปี 1195 ซึ่งตั้งใจจะสร้างให้เป็นหอคอยสุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อ al-Mansur เสียชีวิตลงในปี 1199 ทุกอย่างก็หยุดลง หอคอยสร้างได้สูงเพียง 44 เมตร จากที่ตั้งใจไว้ 86 เมตร ส่วนที่เหลือของมัสยิดก็ไม่สมบูรณ์ มีการสร้างเสามากถึง 348 เสา หอคอยนั้นทำจากหินทรายสีแดง จากนั้นชม สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 (Mausoleum of Mohammed V) ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหอคอยสุเหร่าฮัสซัน ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 1971 เป็นที่ฝังหลุมพระศพของกษัตริย์โมรอคโคและลูกชาย 2 คน คือ กษัตริย์ฮัสซันที่ 2 และเจ้าชายอับดุลลาห์ ถือเป็นผลงานชิ้นเอกในสมัยราชวงศ์ Alaouite อาคารสี่เหลี่ยมสีขาว หลังคาทรงปิรามิดสีเขียว ตัดกับการตกแต่งภายในอย่างประณีต จะมีทหารองครักษ์และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนเฝ้าที่ประตู เปิดให้ทุกศาสนาได้เข้าชม โปรดแต่งกายสุภาพและหลีกเลี่ยงการมาระหว่างเที่ยงถึงบ่ายสองโมง มีการปิดสวดมนต์ในมัสยิด จากนั้นนำท่านชม ป้อมอูดายา (Kasbah of the Udayas)หรือป้อมสีฟ้าขาว สร้างในศตวรรษที่ 12 ในช่วงรัชสมัยของ Almohad Caliphate ได้รับการปรับปรุงมาหลายยุคหลายสมัย เป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าอาหรับ , ผู้อพยพ Andalusian ตั้งอยู่ริมปากแม่น้ำ Bou Regreg สร้างเพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันโจรสลัดและผู้บุกรุกเป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง Mission Impossible ปี 5 เก็บภาพแห่งความประทับใจ จากนั้นเดินเล่นเมืองเก่า Rabat Medina มีขนาดเล็กก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้ามาในปี 1912 และขยายเมืองสร้างใหม่ ส่วนของเมืองเดิมสร้างขึ้นเมื่อผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมในแคว้นอันดาลูเชียหลบหนีจากบ้านเกิดของพวกเขาในบาดาโฮซในสเปน ในเมดิน่าจะมีร้านค้าและคาเฟ่แบบดั้งเดิมมากมาย ร้านเครื่องหนัง ร้านค้างานฝีมือ ของที่ระลึกมากมาย |
เย็น |
รับประทานอาหารค่ำ (มื้อที่ 2) ภัตตาคารในโรงแรม |
ที่พัก |
พักโรงแรมเมืองราบัต FARAH HOTEL ระดับ 5 ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่สาม |
ราบัต แทนเจียร์ (B/L/D) |
เช้า |
รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร (มื้อที่ 3) หลังอาหารนำท่านเดินทางออกแต่เช้าเพื่อมุ่งหน้าสู่แทนเจียร์ (Tangier) แทนเจียร์เป็นเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของโมร็อกโก แทนเจียร์เป็นเมืองท่าที่สำคัญของโมรอคโค ที่อยู่ทางตอนเหนือ อยู่บนชายฝั่ง Maghreb ทางตะวันตกของช่องแคบยิบรอลตาร์ซึ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตรงกับมหาสมุทรแอตแลนติกปิด Cape Spartel เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของภูมิภาค Tanger-Tetouan-Al Hoceima รวมถึงจังหวัด Tangier-Assilah ของโมร็อกโก ถึงแทนเจียร์ นำท่านเดินทางไปชม ถ้ำเฮอร์คิวลิส (Hercules caves) อยู่ห่างจากแทนเจียร์ประมาณ 14 กิโลเมตร เป็นถ้ำโบราณคดีที่ตั้งอยู่ในเคปสปาร์เทล เป็นที่รู้จักกันในนาม ประตูแห่งแอฟริกา (Door of Africa) ให้ท่านชมถ้ำโดยเฉพาะประตูถ้ำที่มองออกไปสู่ทะเล โดยประตูถ้ำมีลักษณะเหมือนเฮอร์คิวลิส จากนั้นนท่านเดินทางไปจุดชมวิวเพื่อชม ช่องแคบยิบรอลตาร์ และ มหาสมุทรแอตแลนติก จากนั้นพาไปชมประภาคารที่ตั้งอยู่ที่ แคปสปาร์เทล (Cape Spartel) แหลมสุดของตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา และ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กับมหาสมุทรแอตแลนติก |
กลางวัน |
บประทานอาหารกลางวัน (มื้อที่ 4) ภัตตาคารท้องถิ่นที่ Cape Spartel Restaurant |
บ่าย |
หลังอาหารกลางวันนำท่านเดินทางไปชมเมืองเก่า Medina Grand Socco หรือ อีกชื่อหนึ่งว่า Big Squares เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องมาห้ามพลาดของเมือง Tangier จากนั้นนำท่านชม จัตุรัส Place de France เป็นศูนย์รวมนักท่องเที่ยวยามบ่ายกับร้านกาแฟ Cafe Pari ที่โด่งดังในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จากนั้นนำท่าน ความยิ่งใหญ่แห่งเมืองแทนเจียร์ชม ป้อมปราการเมืองแทนเจียร์ (Tangier Kasbah) จากนั้นนำท่านชม พระราชวังสุลต่าน ดาร์ เอล มาคเซ่น (Dar el Makhzen) |
ค่ำ |
รับประทานอาหารค่ำ (มื้อที่ 5) ภัตตาคารในโรงแรม |
ที่พัก |
พักโรงแรมเมือง BARCELO HOTEL ระดับ 4 ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่สี่ |
แทนเจียร์ - เชฟชาอูน เมืองโบราณโรมันโวลูปิลิส เมืองแม็กแน็ส เมืองเฟส (B/L/D) |
เช้า |
รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร (มื้อที่ 6) |
|
วันนี้ออกแต่เช้าตรู่ ไม่เกิน 07.00-07.30 น. นำท่านเดินทางสู่ เมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen) เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีน้ำเงินทุกบ้านเรือนบนเนินเขาได้ทาด้วยสีน้ำเงินทั้งเมือง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่ไม่ควรพลาดเก็บภาพความประทับใจ เมืองเชฟชาอูนเป็นเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโมร็อกโค ตั้งอยู่ ในเทือกเขา RIF โดยเมืองนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1471 เป็นป้อมปราการขนาดเล็ก โดย Moulay Ali ibn Rashid al-Alami ต่อสู้กับการรุกรานของชาวโปรตุเกส ใน ปี 1920 และตกเป็นเมืองขึ้นของสเปน ณ ปัจจุบันเมืองนี้มีประชากรประมาณ 45,000 คน ก็ยังคงใช้ภาษาสเปนกันอย่างแพร่หลาย เมื่อในปี 1956 เมืองนี้ได้กลับสู่การปกครองของโมรอคโคจากความช่วยเหลือของฝรั่งเศส อิสระเก็บภาพแห่งความประทับใจเดินชมเมืองเล็กๆ และมีร้านค้าขายสินค้าพื้นเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้ แวะถ่ายภาพที่จุดชมวิวเมืองเชฟชาอูน จากนั้นเดินผ่านประตูทิศใต้ Bab El Ain เพื่อขึ้นไปชมเมืองเชฟชาอูนและยังเป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ตกอีกด้วย |
เที่ยง |
รับประทานอาหารกลางวัน (มื้อที่ 7) ภัตตาคารอาหารจีน |
บ่าย |
เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) อดีตเมืองโบราณแห่งจักรวรรดิโรมัน ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต มีความสำคัญในยุคศตวรรษที่ 3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 เมืองโรมันโบราณแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997 มีชื่อเสียงเนื่องจากมีกระเบื้องโมเซคที่สวยงามและอยู่ในสภาพสมบูรณ์หลายแห่ง จากนั้นผ่านชมเมืองมูเลไอดริส Moulay Idriss เป็นเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ของโมรอคโค ทุกๆปีเดือนสิงหาคมถึงกันยายน จะมีเหล่านักแสวงบุญเดินทางมาเยือนเมืองนี้เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา เปรียบเสมือนเป็นนครเมกะของซาอุดีอาระเบีย จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองแม็กแน๊ส(Meknes) เป็นเมืองทางตอนเหนือของประเทศโมรอคโค ห่างจากกรุงราบัต 130 กม. และห่างจากเมืองเฟส 60 กม. เมืองนี้ตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 11 โดย Almoravids ในสมัยกลางเป็นเมืองป้อมปราการของพวกเบอร์เบอร์ อดีตเมืองหลวงในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิแห่งราชวงศอ์ะลาวทิ (Alaouite Dynasty) บุตรชายของเขาได้เปลี่ยน Meknes ให้กลายเป็นเมืองที่น่าประทับใจในสไตล์สเปน - มัวร์ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงพร้อมประตูขนาดใหญ่ซึ่งการผสมผสานอย่างลงตัวของรูปแบบอิสลามและยุโรปของ Maghreb ในศตวรรษที่ 17 ยังคงชัดเจนในปัจจุบัน ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมืองแม๊กแน๊สจึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตไวน์มะกอกและพืชพรรณต่างๆ ยังเป็นเมืองผลิตพรมและเป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลกรับรองโดยยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ.1996 มีประชากรประมาณ 632,079 คน (2014) นำท่านแวะถ่ายภาพ ประตูบับมันซู Bab Mansour Laleuj เป็นประตูที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด ตกแต่งด้วยโมเสดและกระเบื้องสีเขียวสดบนผนังสีแสด ซึ่งตั้งชื่อตามสถาปนิก ใช้เวลาสร้าง 5 ปีหลังจากการตายของ Moulay Ismail ในปี 1732 จากนั้น ผ่านชม Royal Palace ภายในพระราชวังจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเราจึงได้ชมจากภายนอก Royal Palace ตั้งอยู่ใน El Mechouar Stinia แนวเขตกำแพงยาว 2 กม ที่เป็นพระราชวังอย่างเป็นทางการของ Moulay Ismail ภายในมีจะ Mausoleum of Moulay Ismail สร้างในปี 1703 โดย Ahmed Eddahbi เป็นที่ฝังศพของ Moulay Ismail กษัตริย์ผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปีศตวรรษที่ 16 ภายในห้องเงียบสงบ ทาสีเหลืองมัสตาร์ดดูอบอุ่น มีเพียงชาวมุสลิมเท่านั้นที่เข้าไปเคารพยังหลุมฝังศพได้ ห้องโถงเป็นเสาหินอ่อน มีซุ้มโค้งสูงตระหง่ายตกแต่งด้วยปูนปลาสเตอร์แกะสลักอย่างประณีตประดับด้วยกระเบื้องโมเสค สมควรแก่เวลาเดินทางสู่เมืองเฟส (Fes) ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่ต่อจากเชิงเทือกเขารีฟ ทางตอนเหนือกับเขตเทือกเขาแอตลาสตอนกลาง (Middle Atlas) มีแม่น้ำเฟส (River Fes) ไหลผ่านกลางเมือง อยู่ห่างจากกรุงราบัต 180 กม. ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (เมษายนถึง พฤษภาคม) จะเห็นดอกไม้ป่าสีสันสดใสขึ้นตลอดข้างทาง เมืองเฟสเป็นเมืองหลวงเก่าในศตวรรษที่ 8 ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโมรอคโค สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ อิดริส (Idrisid Dynasty) ซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของโมร็อกโก ในปี ค.ศ.789 สุลต่าน โมเลย์ อิดริส ที่ 1 (Moulay Idriss I) เมืองเฟสได้เป็น 3 ส่วนคือ เขตประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเมืองเก่า ได้รับการประกาศจากยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลกทางประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ. 1981 เขตเมืองถูกสร้างเป็นราชธานีสมัยราชวงศ์เมรินิด ปี ค.ศ. 1250 และเขตเมืองใหม่ที่สร้างสมัยการดูแลของฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1912 |
ค่ำ |
รับประทานอาหารค่ำ (มื้อที่ 8) ภัตตาคารในโรงแรม |
ที่พัก |
พักโรงแรมเมืองเฟส FES MARIOTT HOTEL ระดับ 5 ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่ห้า |
เมดิน่าแห่งเฟส - ไฮไลท์ชมโรงย้อมหนังโบราณ (B/L/D) |
เช้า |
รับประทานอาหารเช้า (มื้อที่ 9) ที่ห้องอาหาร |
07.30 น. |
หลังอาหารเช้านำท่านเที่ยวชมเมืองเฟส ซึ่งคล้ายกับเขาวงกต แวะถ่ายภาพประตู Bab Bou Jeloud สร้างขึ้นในปี 1913 เป็นประตูเมืองที่หรูหราและเป็นประตูทางเข้าหลักทางทิศตะวันตกเข้าสู่ย่านเมืองเก่าเฟส ย้อนกลับไปสู่อดีต ซึ่งในเขตเมืองเก่านี้มีซอยแยกย่อยมากกว่า 10,000 ซอย โดยซอยที่แคบสุดคือ 50 ซม. กว้างสุด 3 เมตร จะแบ่งออกเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองแดง ทองเหลือง ย่านขายพรม ย่านเครื่องหนัง งานไม้แกะสลัก เราจะเดินผ่านย่านเครื่องเทศ Souk El Attarine จะได้สัมผัสถึงกลิ่น และเห็นถึงหน้าตาของเครื่องเทศชนิดต่างๆวางเรียงรายเป็นระเบียบสวยงาม เดินไปตามทางจะพบกับลานน้ำพุธรรมชาติ Nejjarine Fountain ที่มีไว้สำหรับชาวมุสลิมได้ล้างหน้า ล้างมือ ก่อนเข้ามัสยิด จากนั้นนำท่านเดินชมย่านเครื่องหนังและแวะชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณ Chouara Tannery เป็นหนึ่งในสามโรงฟอกหนังของเมืองเฟส ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ใหญ่ที่สุดในเมือง ที่ได้รับการอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก้ ท่านจะได้เห็นกระบวนการต่างๆ เช่น การแช่ด้วยน้ำยาสีขาวที่ทำมาจากมูลนกพิราบ ปัสสาวะวัว ปูนขาว เกลือ และน้ำ แช่เพื่อทำความสะอาดและให้หนังนิ่ม 2- 3 วัน จากนั้นย้อมในสีธรรมชาติ เช่น งาดำ สำหรับสีแดง,ครามและน้ำเงิน จากเฮนน่าจะได้สีส้ม และนำไปตากแดด โดยหนังที่นำมาใช้คือ แกะ แพะ อูฐ น้ำยาฟอกหนังจะเป็นสูตรพิเศษดั้งเดิมทำมาจากมูลนกพิราบ ปัสสาวะวัว จากนั้นเดินไปชมด้านนอก จากนั้นนำท่านเดินไปเข้าชม เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (Merdersa Bou Imania) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงามประณีต สร้างในปี ค.ศ. 1351-1356 โดย Abu Inan Fais ภายในมีลวดลายโมเสคและสลักปูนปั้นตามโค้งประตู พื้นปูหินอ่อนและมีอ่างน้ำเล็กๆอยู่ตรงกลา สุสานของมูเล ไอดริสที่ 2 (Moulay Idiriss Mausolem II) ที่ชาวโมรอคโคถือว่าเป็นแหล่งมาแสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะเทศกาล Moussem ซึ่งจัดในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนสิงหาคม จากนั้นผ่านชมสุเหร่าใหญ่ไคเราวีน (Kairouine Mosque) ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมรอคโคและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในปัจจุบันยังคงเปิดสอนอยู่โรงเรียนด้วย เป็นตัวอย่างสำคัญของสถาปัตยกรรม Marinid ในระหว่างการเดินเที่ยวชมเมืองเก่าท่านสามารถเลือกซื้อสินค้าพื้นเมืองคะ |
กลางวัน |
รับประทานอาหารกลางวัน (มื้อที่ 10) ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย |
นำท่านไปจุดชมวิวเมืองเฟส อิสระถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย จากนั้นนำท่านแวะช็อปปิ้งที่ห้างคาร์ฟูร์ จากั้นเดินทางกลับโรงแรม |
ค่ำ |
รับประทานอาหารเย็น (มื้อที่ 11) ภัตตาคารในโรงแรม |
ที่พัก |
พักโรงแรมเมืองเฟส FES MARIOTT HOTEL ระดับ 5 ดาว หรือเทียบเท่า |
|
**หมายเหตุ** คืนนี้แพ็คกระเป๋าใส่เป้ใบเล็กสำหรับพักกลางทะเลทราย 1 คืน ส่วนกระเป๋าใบใหญ่เราจะเก็บไว้ในรถโค้ช** |
วันที่หก |
เมืองเฟส เมืองอิเฟรน Midelt - Erfoud มอร์ซูก้า (B/L/D) |
เช้าตรู่ |
รับประทานอาหารเช้า ที่ห้องอาหาร(มื้อที่ 12) |
|
หลังอาหารเช็กเอ้าท์ออกจากโรงแรมเดินทางสู่จุดหมายปลายทางวันนี้ที่ทะเลทรายซาฮาร่า ระหว่างเส้นทางจะผ่านเมืองอิเฟรน(Ifran) ข้ามเขา Middle Atlas ภูมิประเทศเขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้ สวนต้นซีดาร์ เป็นต้นสนขนาดใหญ่ ผ่านเส้นทางความสูง 3,090 เมตร แวะชมบรรยากาศเมืองตากอากาศ เมืองอิเฟรนตั้งอยู่ที่ความสูง 1,665 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นเมืองแห่งสวนและเขา บ้านเรือนถูกทาด้วยหลังคาสีแดง มีอากาศหนาวเย็น จนได้ชื่อว่าเป็น สวิสเซอร์แลนด์ของโมรอคโค มีสภาพแวดล้อมคล้ายกับเทือกเขาอัลไพน์ในสวิตเซอร์แลนด์ ถูกสร้างในสมัยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสเมื่อปี 1928 มีสถาปัตยกรรมคล้ายกับในยุโรป แวะถ่ายภาพกันที่ Ain Vittel เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนท้องถิ่น อนุสรณ์สิงโตหิน Lion Head Monument ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์มากมาย สัญลักษณ์แทนสิงโตตัวสุดท้ายที่จะถูกล่าจากเทือกเขานี้ จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองมิเดล Midelt อยู่ท่ามกลางเทือกเขาแอตลาส เป็นศูนย์กลางการค้า การทำเหมืองแร่ ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 1,508 เมตร มีชื่อเสียงของการทอพรมและผ้าห่ม |
กลางวัน |
รับประทานอาหารกลางวัน (มื้อที่ 13) ภัตตาคารท้องถิ่น |
|
หลังอาหารนำท่านเดินทางผ่านเมืองออร์ฟอย์ด (Erfound) เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางกองคาราวานพ่อค้า ที่เดินทางมาจากตะวันออกกลางอย่างซาอุดิอารเบียและซูดาน บนเส้นทางผ่านข้ามเขตแห้งแล้งแต่มีโอเอซิสที่หุบเขาเดดส์ (Dades) ซึ่งแนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆสวยงาม จากนั้นนำท่านเดินทางโดยรถ 4x4 เข้าสู่เขต เมืองมอร์ซูก้า (Merzouga) เป็นหมู่บ้านอยู่ริมทะเลทรายซาฮาร่าและเป็นประตูสู่ทะเลทรายซาฮาร่า ลัดเลาะขอบทราย ชมทะเลทรายอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิลและหอยเมื่อ 350 ล้านปีก่อน และนำท่านเข้าสู่แค้มป์ที่พักที่ ทะลทรายซาฮารา ซึ่งเป็นทะเลทรายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นบริเวณแห้งแล้งใหญ่สุดเป็นอันดับสามรองจากทวีปแอนตาร์กติกาและอาร์กติก มีเนื้อที่มากกว่า 9 ล้านตารางกิโลเมตร ทิศตะวันตกจรดมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศเหนือคือเทือกเขาแอตลาสและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันออกจรดทะเลแดงและประเทศอียิปต์ ทิศใต้จรดประเทศซูดานและหุบเขาของแม่น้ำไนเจอร์ สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางไปยัง Sandune ด้วยรถ 4WD และเดินขึ้นไปยังสันทรายรอชมพระอาทิตย์ตกดิน จากนั้นกลับที่พัก อิสระพักผ่อน |
เย็น |
หลังอาหารนำท่านเดินทางผ่านเมืองออร์ฟอย์ด (Erfound) เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางกองคาราวานพ่อค้า ที่เดินทางมาจากตะวันออกกลางอย่างซาอุดิอารเบียและซูดาน บนเส้นทางผ่านข้ามเขตแห้งแล้งแต่มีโอเอซิสที่หุบเขาเดดส์ (Dades) ซึ่งแนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆสวยงาม จากนั้นนำท่านเดินทางโดยรถ 4x4 เข้าสู่เขต เมืองมอร์ซูก้า (Merzouga) เป็นหมู่บ้านอยู่ริมทะเลทรายซาฮาร่าและเป็นประตูสู่ทะเลทรายซาฮาร่า ลัดเลาะขอบทราย ชมทะเลทรายอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิลและหอยเมื่อ 350 ล้านปีก่อน และนำท่านเข้าสู่แค้มป์ที่พักที่ ทะลทรายซาฮารา ซึ่งเป็นทะเลทรายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นบริเวณแห้งแล้งใหญ่สุดเป็นอันดับสามรองจากทวีปแอนตาร์กติกาและอาร์กติก มีเนื้อที่มากกว่า 9 ล้านตารางกิโลเมตร ทิศตะวันตกจรดมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศเหนือคือเทือกเขาแอตลาสและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันออกจรดทะเลแดงและประเทศอียิปต์ ทิศใต้จรดประเทศซูดานและหุบเขาของแม่น้ำไนเจอร์ สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางไปยัง Sandune ด้วยรถ 4WD และเดินขึ้นไปยังสันทรายรอชมพระอาทิตย์ตกดิน จากนั้นกลับที่พัก อิสระพักผ่อน |
ค่ำ |
รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรมกลางทะเลทรายซาฮารา(มื้อที่ 14) จากนั้นพักผ่อนตามอัธยาศัย |
ที่พัก |
พักโรงแรมกลางทะเลทราย YASMINA BIVOUAC HOTEL MERAOUGA หรือเทียบเท่า ระดับ 4 ดาว |
วันที่เจ็ด |
มอร์ซูก้า ทินเฮียร์ - Todra Gorge Taourirt Kasbah วอร์ซาเซท (B/L/D) |
เช้าตรู่ |
ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนำท่านขี่อูฐชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทรายซาฮาร่า **พิเศษ** รวมค่าขี่อูฐ 1 ท่าน อูฐ 1 ตัว **เตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วย** สมควรแก่เวลานำท่านกลับมา รับประทานอาหารเช้าที่แค้มป์ (มื้อที่ 15) หลังอาหารนำท่านนั่งรถ4WDกลับออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นรถโค้ชที่เมืองออร์ฟอย์ด แล้วเดินทางต่อไปที่เมืองทินเฮียร์ Tinghir อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของโมรอคโค มีประชากรประมาณ 42,044 คน(2014) เป็นศูนย์กลางโอเอซิสทางตอนใต้ของโมรอคโค มีต้นปาล์มประมาณ 48 กม. แวะชม โอเอซิส Oasis Tinghir เป็นชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ท่ามกลางความแห้งแล้ง ยังมีความชุ่มชื้นของโอเอซิส ต้นปาล์ม เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากวอซาเซท นับได้ว่าเป็นโอเอซิสที่สวยที่สุด จากนั้นเดินทางสู่ ช่องแคบทอด้าจอร์จ Todra Gorge ชมความงามของช่องเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในโอเอซิส ลำน้ำใสไหลผ่านช่องเขากับหน้าผาสูงชันแปลกตาเป็นแหล่งปีนหน้าผาสำหรับนักเสี่ยงภัยทั้งหลาย มีความยาว 15 กม. หน้าผาสูง 400 เมตร เป็นหน้าผาลึกสีแดงข้างแม่น้ำTodra |
กลางวัน |
รับประทานอาหารกลางวัน (มื้อที่ 16) ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย |
สมควรแก่เวลาเดินทางสู่เมืองวอร์ซาเซท (Ouarzazate) เป็นประตูแห่งทะเลทราย อยู่ทางตอนใต้ของโมรอคโค ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 1,160 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในภาษาเบอร์เบอร์ชื่อนี้แปลว่า ไม่มีเสียง เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์มีสตูดิโอที่ใหญ่ที่สุดของโมรอคโค ยังเป็นจุดข้ามสำหรับพ่อค้าแอฟริกาไปทางตอนเหนือของโมรอคโคและทางยุโรป ในอดีตช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามาเมืองวอซาเซท มีการขยายตัวอย่างมาก เป็นศูนย์กลางการปกครองและเป็นด่านศุลกากร สินค้าที่ขึ้นชื่อคือ พรม ก่อนเข้าที่พักนำท่านชม ป้อมเทาริท (Taourirt Kasbah) ซึ่งเป็นป้อมแห่งตระกูลกลาวี สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 โดยGlaoui tribe โดยเป็นป้อมเทาริท เป็นสถาปัตยกรรมแบบ BerBer ภายใต้หมู่อาคารขนาดใหญ่ ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ จำนวนมากซ่อนอยู่เชื่อมต่อกันด้วยถนนเล็กๆ และเส้นทางลับคดเคี้ยวตามอาคารที่เบียดเสียดกันเดินชมและถ่ายภาพตามอัธยาศัยจากนั้นนำท่านเข้าสู่โรงแรม |
ค่ำ |
รับประทานอาหารค่ำ(มื้อที่ 17) ที่ห้องอาหารของโรงแรม |
ที่พัก |
พักโรงแรมเมืองวอร์ซาเซท KARAM PALACE HOTEL ระดับ 4 ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่แปด |
วอซาเซท Kasbash of Ait Ben Hadou - มาราเกซ พระราชวังบาเฮีย- Saadian Tombs มัสยิดคูตูเปีย จัตุรัสกลางเมือง Jemaa el Fnaa Square (B/L/D) |
เช้า |
รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร (มื้อที่ 18) |
|
07.00 น. ออกจากโรงแรมแต่เช้านำท่านเดินทางต่อสู่เมืองไอท์ เบนฮาดดู (Ait Ben Haddou) ชมเมืองไอท์ เบนฮาดดู เป็นกลุ่มของอาคารดิน ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง เป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นทางตอนใต้ของโมรอคโค ในสมัยศตวรรษที่ 17 บางส่วนตกแต่งลวดลายด้วยอิฐดินเผา เป็นเมืองที่ชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในโมรอคโคภาคใต้ คือ ป้อมไอท์ เบนฮาดดู (Kasbash of Ait Ben Hadou) หรือ Ksar ในภาษาอาหรับ เป็นหมู่บ้านป้อมหินทรายสีแดง อยู่ในเส้นทางคาราวานระหว่างซาฮาร่ากับเมืองมาราเกซ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrance of Arabia, Jesus of Nazareth, Gladiator และ Game of Thrones ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อปี ค.ศ. 1987 |
|
สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่เมืองมาราเกช (Marakesh) อดีตเมืองหลวงของโมรอคโค แต่ในปัจจุบันก็ยังมีความสำคัญอยู่ในเรื่องของศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและเมืองแห่งการท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด มีจุดเด่นที่เห็นได้ชัดและรู้จักกันไปทั่วโลกก็คือสีของอาคารบ้านเรือนที่ถูกทาด้วยสีส้มอมชมพูเหมือนกันหมดทั่วทั้งเมืองจนถูกเรียกว่าเมืองสีชมพูนั่นเอง ตั้งอยู่ทิศเหนือของเชิงเขาแอตลาส ในอดีตเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่ช่วงหนึ่งได้ชื่อว่าเป็น มหานครแห่งมาห์เกร็บ (Mahgreb-ภูมิภาคทางตะวันตกของโลกอาหรับ) และยังเป็นอดีตเมืองโอเอซีสที่เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากตอนใต้ของโมรอคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ |
เที่ยง |
รับประทานอาหารกลางวัน (มื้อที่ 19) ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย |
นำท่านเข้าชมพระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) เป็นพระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการแทนยุวกษัตริย์ ตั้งอยู่ในสวนอันกว้างขวางถูกสร้างในปลายศตวรรษที่ 19 โดยอัครมหาเสนาบดี Si Ahmed ben Musa (Bou-Ahmed) สร้างให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ หรูหรา เป็นสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม-โมรอคโค ให้ความสนใจเรื่องความเป็นส่วนตัวโดยการสร้างประตูให้มีหลายบาน ใช้เวลาสร้าง 7 ปี จากช่างฝีมือหลายร้อยคนจากเมืองเฟส ตกแต่งด้วยไม้แกะสลักปูนปั้น ประดับด้วยโมเสค ภายในมีราว 150 ห้อง แต่มีเพียง 8 ห้องที่ได้รับการบูรณะและเปิดให้เข้าชม จากนั้นนำท่านชม สุสานแห่งราชวงศ์ซาเดียน(Saadian Tombs) เป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์ในสมัยราชวงศ์ซาเดียน และเดินทางมาชมด้านนอกของ มัสยิด คูตูเบีย (Koutobia Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่เก่าแก่ที่สุดในเมือง ตั้งอยู่ในเขตเมดิน่าด้านตะวันตกเฉียงใต้ เสร็จสมบูรณ์ในศตวรรษที่ 12 ภายใต้การปกครองของ Almohad Caliph Yaqub al-Mansur ทำจากหินสีแดงและอิฐ สูง 77 เมตร และกว้าง 60 เมตร ตัวสุเหร่าประดับด้วยหน้าต่างโค้งและฝังเซรามิค ยอดแหลมด้านบนสุดเป็นลูกโลกทองแดงชุบทองถูกออกแบบในสไตล์ Almohad มัสยิดนี้สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล 29 กม. จากนั้นเดินทางสู่ จัตุรัสกลางเมือง Jemaa el-Fnaa Square ที่มีขนาดใหญ่ในเขตเมดิน่า รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน เดินเล่นถ่ายรูปความมีชีวิตชีวา ที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้ พร้อมจับจ่ายหาซื้อของฝาก ของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ ได้ที่ ตลาดเก่า ที่อยู่รายรอบจัตุรัส |
ค่ำ |
รับประทานอาหารค่ำ(มื้อที่ 20) ที่โรงแรม |
ที่พัก |
โรงแรมเมืองมาราเกซ LE MERIDIEN HOTEL ระดับ 5 ดาว หรือ เทียบเท่า |
วันที่เก้า |
มาราเกซ สวนจาร์ดีน มาจอแรล คาซาบลังก้า- สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2 Morocco Mall - คาซาบลังก้า |
เช้า |
รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร (มื้อที่ 21) |
|
หลังอาหารนำท่าน เดินทางไปชมสวน สวนจาร์ดีน มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือ สวนยิปแซงลอเร้นซ์ (Yves Saint Laurent Gardens) ออกแบบโดย Yves St. Laurent นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์แห่งปารีส ฝรั่งเศส ในช่วงที่โมรอคโคเคยตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ชมสวนที่ถูกออกแบบโดยใช้สีฟ้า และสีส้มเป็นองค์ประกอบหลัก ไม่ว่าจะเป็นเสา แจกัน มีนานาพรรณของต้นไม้แห่งทะเลทราย ที่จัดได้อย่างสวยงาม จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองคาซาบลังก้า ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ถึงคาซาบลังก้า แวะถ่ายภาพกันที่ ประภาคาร Lighthouse Sidi Bouafi มีความสูง 46 เมตร สร้างในปี 1916 ทาสีขาวและสีเทา หรือรู้จักกันอีกชื่อว่าประภาคาร Mazagan |
กลางวัน |
รับประทานอาหารกลางวัน (มื้อที่ 22) ภัตตาคารจีน ทื่เมืองคาซาบลังก้า |
|
จากนั้นนำท่านเข้าชม สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Hassan II Mosque) มัสยิดตั้งอยู่บนแหลมที่มอง ออกไปยังมหาสมุทรแอตแลนติก สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1993 เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่มาก ในหอสวดมนต์สามารถจุคนได้ 25,000 คน ส่วนด้านนอกได้อีก 80,000 คน และมีหอคอยสูง 210 เมตร มีขนาดใหญ่ที่สุดในแอฟริกาและใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง อิสระชมทิวทัศน์รอบๆภายนอกสุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งทะเล ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่สวยงามของชาวโมรอคโคที่ชอบมาเดินเล่น และให้อิสระท่านได้ช้อปปิ้ง เลือกซื้อของฝากของที่ระลึกกันที่ Morocco Mall |
เย็น |
รับประทานอาหารเย็น (มื้อที่ 23) ที่ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น |
ที่พัก |
พักโรงแรมเมืองคาซาบลังก้า GRAND MOGADOR HOTEL ระดับ 5 ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่สิบ |
คาซาบลังก้า ดูไบ |
07.00 น. |
รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร(มื้อที่ 24) หลังอาหารเช้าอิสระพักผ่อนตามอัธยศัย |
10.30 น. |
นำท่านเดินทางสู่ สนามบินเมืองคาซาบลังก้า เช็กอินโหลดกระเป๋าที่เค้าเตอร์สายการบิน Emirates เพื่อเดินทางกลับประเทศไทยโดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินดูไบ |
14.55 น. |
บินสู่ เมืองดูไบ โดยเที่ยวบินที่ EK 752 บริการอาหารบนเครื่อง ใช้เวลาบินประมาณ 7ชั่วโมง 25นาที |
วันที่สิบเอ็ด |
ดูไบ - กรุงเทพฯ |
01.15 น. |
ถึง สนามบินดูไบ รอเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทย |
03.40 น. |
ออกเดินทางสู่ประเทศไทยโดยเที่ยวบินที่ EK 376 บริการอาหารบนเครื่อง ใช้เวลาบินประมาณ 6ชั่วโมง 5นาที |
12.50 น. |
คณะเดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ |
|
**หมายเหตุ ** กำหนดการเดินทางอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เพื่อความเหมาะสม ทั้งนี้ทางบริษัทฯ จะยึดถือความปลอดภัยเป็นหลัก และรายการ-ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับสายการบินโดยจะยึดประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ |
|
อัตรานี้รวม
ค่าตั๋วเครื่องบิน กรุงเทพฯ คาซาบลังก้า กรุงเทพฯ โดย Emirates ชั้นประหยัด พร้อมภาษีสนามบิน
ค่าโรงแรมที่พัก ระดับ 4 ดาว 2 คืน และ ระดับ 5 ดาว จำนวน 5 คืน และโรงแรมที่ทะเลทรายซาฮาร่า 1 คืน
ค่าวีซ่าท่องเที่ยวประเทศโมรอคโค
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ตามรายการที่ระบุ
ค่ารถโค้ช/รถ 4WD ในการนำเที่ยวตามรายการ
บริการไกด์จากประเทศโมรอคโค ภาษาอังกฤษ และหัวหน้าทัวร์คนไทย
ค่าประกันอุบัติเหตุแบบหมู่คณะวงเงิน 1,000,000 บาท (เงื่อนไขตามกรมธรรม์)
ค่าอาหารตามที่ระบุในรายการ
ค่าน้ำดื่มระหว่างมื้ออาหารทุกมื้อ / น้ำดื่มระหว่างวัน 2 ขวดเล็ก/ท่าน อัตราค่าบริการดังกล่าวนี้ไม่รวม
อัตรานี้ไม่รวม
ค่าน้ำหนักเกินพิกัดจากที่สายการบินกำหนด
ค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์ ค่ามินิบาร์ในห้องพัก ค่าซักรีด ค่าอาหารที่สั่งมาทานให้ห้องพัก ค่า เครื่องดื่มที่สั่งเพิ่มพิเศษจากมื้ออาหาร เป็นต้น
ค่าใช้จ่ายนอกเหนือระบุในโปรแกรม
ค่าทิปไกด์และคนขับรถท้องถิ่น 50 USD/ลูกค้าหนึ่งท่าน
ค่าทิปหัวหน้าทัวร์ไทย 1,000 บาท/ลูกค้าหนึ่งท่าน
ค่าทิปคนจูงอูฐ คนละ 2 USD
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % , ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3 % กรณีต้องการใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ |
|
เงื่อนไขการสำรองที่นั่งและชำระเงิน
- กรุณาจองล่วงหน้าอย่างน้อย 45 วันก่อนการเดินทาง พร้อมชำระงวดแรก 30,000 บาท / ท่าน และส่งมอบเอกสารการเตรียมการยื่นขอวีซ่าตามที่กำหนด ***(กรณีเป็นชาวต่างชาติ อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าปกติ ประมาณ 1 เดือน)
- ส่วนที่เหลือชำระทันทีก่อนการออกตั๋ว 35 วันก่อนการเดินทาง เนื่องจากจะต้องใช้ในการออกตั๋วเครื่องบินและเอกสารต่างๆ เพื่อยืนยันการเดินทาง ในการประกอบการพิจารณาวีซ่าของทางสถานทูต
- กรณีวีซ่าไม่ผ่านการพิจารณาจากทางสถานทูตฯ บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการหักค่าธรรมเนียมการยื่นวีซ่า, ค่าบริการ และค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง
4.ส่งหลักฐานการโอนเงินมาที่อีเมล์ tripdeedee@gmail.com หรือ ID line : ammarch09 |